มุมสุขภาพ “มะรุม” พืชที่เคยไร้ราคา เป็นเพียงที่ปลูกตามหัวไร่ปลายนา วันนี้กลับมาเป็นพืชที่หลายคนกำลังศึกษาค้นคว้าเพื่อหวังสร้างให้เป็นพืชเศรษฐกิจสร้างเงินชนิดใหม่
“มะรุม” มีในโลกนี้มีทั้งหมด 13-14 สายพันธุ์ มีเพียง 2 สายพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในประเทศไทย คือ โอลิเฟอร์ร่า และคอนคาแนนซีส ซึ่งพันธุ์ที่เห็นทั่วไปส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ โอลิเฟอร์ล่า นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการเป็นพืชเศรษฐกิจอีกหลายสายพันธุ์ทั้งในและต่างประเืทศ
-
ด้วยคุณสมบัติที่มีสารอาหารเกือบครบถ้วนของมะรุม จึงเปรียบเสมือนการรับประทานอาหารที่ครบถ้วน เมื่อร่างกายได้รับอาหารเพียงพอ ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิต้านทานและภูมิุคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ
-
การใช้ประโยชน์จากมะรุม “มะรุม” ชื่อของพืชชนิดนี้ในแง่ของอาหาร แทบจะไม่มีคนไทยคนไหนเลยที่ไม่รู้จัก แต่ขณะที่ถ้าเป็นในแง่ของ “สมุนไพร”หลายคนยังมีความกังขาเกี่ยวกับพืชชนิดนี้ว่า จะเป็นสมุนไพรที่ให้สรรพคุณในด้านใด ให้ผลจริงหรือไม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีเพียงการหยิบยกขอมูลมาจากต่างประเทศที่ระบุว่า ได้มีการใช้ประโยชน์ในแง่ของอาหารเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พอมีบ้างเหมือนกันในตำรายาไทย ที่กล่าวถึงสรรพคุณทางยาของมะรุมเอาไว้ แม้จะไม่ได้ระบุผลในทางรักษาโรคเด่นชัดอย่างในต่างประเทศ ซึ่งการใช้รักษาโรคพอมีปรากฏไว้ ดังนี้
-
เปลือกต้นมะรุม : ใช้ขับลมในลำไส้ ทำให้ผายและเรอ
-
กระพี้มะรุม : ใช้แก้ไข้สันนิบาต
-
รากมะรุม : ใช้แก้บวม แก้ลมเข้าข้อ บำรุงธาตุไฟ
-
ฝักมะรุม : ใช้ถอนพิษไข้ ดับพิษร้อน แก้ขัดเบา
-
ใบ : ใช้พอกรักษาบาดแผลแก้อักเสบ ใช้ฝักแก้ไข
-
ดอก : ใช้ขับปัสสาวะบำรุงกำลัง
-
เมล็ด : ใช้แก้ปวดตามข้อ
-
ปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวกับมะรุมผุดขึ้นมาหลากหลาย ผู้บริโภคควรให้ความใส่ใจกับมาตรฐานการผลิต รวมถึงไม่ควรเชื่อข้อมูลการโฆษณาในทันที ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเสียก่อน เพราะบางครั้วอาจมีข้อมูลที่เกินจริง